อ่านตอนที่ 1 Klon Centaur #1 กำเนิดเอฟเฟกต์ในตำนาน

หลังจากทุ่มเทแรงกายแรงใจและใช้เวลากว่า 4 ปี ในการพัฒนา Klon Centaur ขึ้นมาจนพร้อมวางขาย Bill Finnegan จึงทำการปกป้องนวัตกรรมระดับ Master Piece ของเขาไว้ ด้วยการราด Epoxy Resin สีดำทับลงบนแผงวงจร ทำให้ในช่วงแรกๆนั้นไม่มีใครสามารถทำการ Reverses Engineering หรือการชำแหละและวิเคราะห์วงจรของ Klon Centaur ได้เลย

ถ้าเราแกะฝาหลังของ Klon Centaur ออกมา นอกวางแผงวงจรที่ถูกราดด้วย Epoxy Resin แล้ว มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ Potentiometer หรือ Pot ที่ใช้ในตำแหน่ง Gain นั้นจะมีลักษณะพิเศษ คือมันเป็น Pot ที่ซ้อนทับกันสองชั้น หรือเรียกว่า Double-Gang Pot

ในส่วนของแผงวงจรนั้นเป็น PCB แบบ Layer เดียว และในบางส่วงของวงจรที่มีความจำเป็นต้องใช้ PCB แบบ Double Layer นั้น Bill ใช้การเชื่อมวงจรสองชุดเข้าด้วยกันด้วยสายแพร์แทน ในส่วนของ Pot, Jack และ ขั้วถ่าน ทั้งหมดถูกเชื่อมเข้ากับแผงวงจรด้วยมือ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและทักษะเป็นอย่างมาก

นั่นคือสิ่งที่ทุกคนเห็น จนกระทั่งเมื่อปี 2009 สมาชิกจากเว็ปไซต์ freestompboxes.org ได้ระดมทุนซื้อ Klon Centaur และส่งไปให้กับ Martin Chittum ทำการแกะเอา Epoxy ออกและเขาก็สามารถที่จะตรวจสอบชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ทั้งหมดที่ใช้ในวงจรได้สำเร็จ และเข้าได้เขียนผังวงจรออกมา

สามารถเข้าไปดูแผงวงจรชัดๆได้ที่ https://guitargearfinder.com/wp-content/uploads/2018/11/klon-centaur-schematic-high-res.jpg

จากผังวงจรนี้ทำโลกเข้าใจวงจรการสร้างเสียงของ Klon Centaur และเห็นชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ต่างๆที่ Bill เลือกใช้

www.coda-effects.com ได้ทำการวิเคราะห์แผงวงจรของ Klon Centaur ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

วิเคราะห์แผงวงจรจาก www.coda-effects.com

จากรูป (เข้าไปดูรูปชัดๆได้ที่ https://bit.ly/2FrFvbE ) จะเห็นได้ว่า

เมื่อสัญญาณเข้ามาจะถูก Buffer ด้วย Op-Amp TL072 ซึ่ง Buffer ของ Klon Centaur นี้ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน Buffer ที่ Transperent ที่สุด

จากนั้นสัญญาณจะถูกแยกออกเป็น Bypass (สีฟ้า) ซึ่งจะถูกส่งต่อไปที่ภาค Output เมื่อเราปิดการใช้งาน Klon Centaur สัญญาณชุดนี้จะถูกส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ชิ้นถัดไป

สัญญาณยังถูกแบ่งออกเป็นอีกสองชุด คือ Clean (สีเขียว) และ Saturate หรือ เสียงแตก (สีชมพู)

ในส่วนของเสียงแตกนั้นหลักๆจะถูกขยายและ Clipping ด้วย Op-Amp TL072 และ Diode แบบ Germanium อีกสองตัว จากนั้นจะถูกนำกลับไป Mix รวมกับเสียงคลีนด้วย Double-Gang Pot ที่เราพูดถึงในตอนแรก โดยเมื่อเราลดค่า Gain ลง ทั้งเสียงคลีนและเสียงแตกจะลดลงพร้อมๆกัน และถ้าเราเพิ่มค่า Gain ขึ้น ทั้งเสียงคลืนและเสียงแตกก็จะถูกเพิ่มขึ้นพร้อมๆกัน นี่คือหนึ่งในความลับเบื้องหลังเสียงที่มีความโปร่ง ใหญ่ และสะอาดของ Klon Centaur

นอกจากนั้นในภาคจ่ายไฟของ Klon Centaur จะใช้วงจรรวม MAX1044 ซึ่งจะทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟจาก 9V ที่ถูกจ่ายเข้าไป ให้กลายเป็น

9V(V+) ซึ่งถูกนำไปใช้ในภาคของ Buffer และ ภาคขยาย

18V(2V+) และ -9V(V-) ถูกนำไปใช้ใน Op-Amp ที่อยู่ส่วนหลังของวงจรหลังจากที่เสียงคลีนและเสียงแตกถูกผสมเข้าด้วยกันแล้ว ทำให้ได้ Headroom ที่สูงมากๆ

4.5V(VB+) ถูกนำไปใช้เป็น Virtual Ground ในทุกๆส่วนของวงจร

หลังจากปี 2009 เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลของวงจร Klon Centaur แล้วก็เริ่มมีหลายๆคนเริ่มทำการ Clone ขึ้นมา แต่แน่นอนว่าความลับก็ยังคงมีอยู่ เพราะแม้แต่ตัว Martin Chittum ก็ไม่รู้ว่า Diode แบบ Germanium สองตัวที่อยู่ใน Klon นั้นคืออะไร

Bill ได้พูดถึงเรื่อง Diode แบบ Germanium ที่ใช้ในบทสัมภาษณ์กับทาง Premier Guitar ( อ่านได้ที่ https://bit.ly/2HxJZ2w ) ไว้ ว่าในช่วงปี 1993-1994 เขาและ Fred อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนา Klon Centaur แล้ว เขากำลังมองหา Diode ที่จะนำมาใช้ในการ Clip สัญญานเพื่อสร้างเสียงแตกกับวงจร ยกเว้นว่าคุณจะใช้มันในโหมด Clean Boost เข้าพยายามจะกว้านซื้อ Diode เท่าที่จะหาได้เพื่อนำมาทดสอบ และยุคนั้นก็ยังไม่มีอินเตอร์เน็ท เขาต้องไปห้องสมุดเพื่อหาเบอร์ของตัวแทนจำหน่าย Diode ทั้งหลายแล้วโทรไปสอบถาม เขาสั่ง Diode มาเยอะมากๆทั้ง Germanium และ Silicon

สุดท้ายเขาชอบเสียงที่ได้จาก Diode แบบ Germanium มากกว่าเพราะส่วนตัวเขาคิดว่ามันให้เสียงที่เป็นธรรมชาติกว่า Diode แบบ Silicon หลังจากทดสอบอยู่หลายเดือนเขาพบว่า Diodeแบบ Germanium New Old Stock (ของเก่าผลิตมานานแต่ยังไม่ถูกนำไปใช้) คู่หนึ่งให้เสียงที่ดีที่สุดกับวงจรของเขา เขาเลยพยายามจะกว้านซื้อให้ได้เยอะที่สุด เพราะของพวกนี้เลิกผลิตไปแล้ว เขาโชคดีที่เจอตัวแทนจำหน่ายที่มีสต๊อกของ Diodeตัวนี้อยู่จำนวนมาก และโชคดีชั้นที่สองคือตัวแทนเก็บสต๊อกนี้เอาไว้เพื่อบริษัทรับผลิตที่เลิกใช้ Diode ตัวนี้ไปแล้ว ทำให้ Bill สามารถเหมา Diode ที่เขาต้องการมาได้ในราคาถูก

นอกจากนั้น Bill ยังบอกว่า จากที่เขารู้ นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครในวงการที่ใช้ Diode นี้ในการสร้างเอฟเฟกต์อีกเลย มันเลิกไปหลายทศวรรษแล้ว ตัวเขาเองก็พยายามจะหาซื้อเพิ่มหลายครั้ง แต่ก็หาไม่ได้

ในปี 1995 Bill ทำการปรับแต่งวงจรเล็กน้อยด้วยการเพิ่ม Resistor เข้าไปเพื่อปกป้องวงจรกระแสไฟในภาค Input และทำการเพิ่ม Ground Plane ลงในวงจรเพื่อทำให้มี Noise น้อยลง แต่ไม่มีผลกับเสียง สุดท้ายมีการเพิ่ม Resistor เข้าไปเพื่อเพิ่มการตอบสนองในย่าน Low Mid เพื่อให้เสียงนั้นกลมขึ้นเมื่อนำไปใช้กับกีตาร์ Strat และ แอมป์ Super Reverb และไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนวงจรอีกเลยหลังจากนั้น รวมถึง KTR ด้วย

นั่นน่าจะเป็นข้อสรุปได้ว่า Klon Centaur ในแต่ละรูปแบบนั้น ให้เสียงที่เหมือนกัน ณ วันที่มันถูกผลิตขึ้นมา ยกเว้นล๊อคที่ถูกผลิตในปี 1994-1995 ก่อนที่ Bill จะทำการปรับแต่งวงจร แต่เมื่อชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ต่างๆนั้นถูกใช้งานในรูปแบบที่ต่างกัน บางตัวใช้งานหนัก บางตัวใช้งานน้อย ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆนั้นเสื่อมสภาพไม่เท่ากัน เป็นเหตุผลที่ทำให้ Klon Centaur แต่ละก้อนนั้นอาจจะให้เสียงที่แตกต่างกันในปัจจุบัน

จริงๆมีรายละเอียดเรื่องวงจรอีกเยอะเลยครับ ใครสนใจเข้าไปอ่านเพิ่มได้ที่
https://www.electrosmash.com/klon-centaur-analysis
https://www.coda-effects.com/p/klon-centaur-circuit-analysis.html

Klon Centaur มีกี่แบบ? ทั้งมีม้า ไม่มีม้า ไหนจะม้าหางยางหางสั้น และมีกล่องเงินกับกล่องทองอีก? ตอนหน้าจะเขียนให้อ่านกันครับ