มัลติตัวไหนดีกว่า? มีคนถามผมเรื่องนี้เยอะมากช่วงนี้ เพราะผู้ผลิตแต่ละรายก็แข่งกันปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกันอย่างเมามันส์

ตัวไหนดีกว่ากัน? ผมตอบไม่ได้ครับ เพราะมันเป็นเรื่องรสนิยม ชอบอันไหนก็บอกว่าอันนี้ดี แน่นอนว่ารสนิยมของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ผมสามารถตอบได้ก็คือ แต่ละตัวนั้นแตกต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างกันของแต่ละยี่ห้อนั้นผมคิดว่าเกิดจาก 2 ประเด็น คือ ปรัญชา และ มรดก ของแต่ละบริษัท

ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสได้ทั้งทดลอง และได้พูดคุยอย่างละเอียดกับทั้งตัวแทนจำหน่าย รวมถึงบริษัทผู้ผลิตหลายๆแห่ง ทำให้ผมพอจะเข้าใจแนวคิดและปรัชญาของแต่ละบริษัทอยู่ประมานนึง และปรัชญานี้เหละครับที่ทำให้เกิดความแตกต่างขึ้นระหว่างผลิตภัณฑ์ของแต่ละบริษัท เช่นบริษัทแรกมีปรัชญาที่ว่าอยากจะทำการ Modelling เสียงให้เหมือนกับต้นแบบมากที่สุด แน่นอนว่าถ้าคุณชอบเสียงแบบเหมือนกับแอมป์และเอฟเฟกต์ต่างๆ และอยากมีเสียงที่หลากหลายใช้งานคุณคงจะชอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้

บริษัทที่สองมีปรัชญาที่ว่าอยากจะสร้างเสียงที่ดีที่สุดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นๆ ถ้าคุณชอบเทคโนโลยี คุณชอบเสียงใหม่ๆที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงที่มีคุณภาพเหมาะกับยุคสมัยคุณน่าจะชอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ หรืออาจจะมีอีกบริษัทที่มีปรัชญาอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองบริษัทก่อนหน้านี้ ถ้าคุณชอบอะไรกลางๆคุณคงชอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้

ในเรื่องของมรดกที่แต่ละบริษัทมีก็คือสิ่งที่บริษัทนั้นๆทำมาตลอด เช่นบริษัทที่เน้นเรื่อง Modelling เสียงให้เหมือน แน่นอนว่าเค้าย่อมมีคลังข้อมูล และเสียงที่ทำการ Modelling มาเก็บสะสมไว้จำนวนมหาศาล บริษัทอื่นที่จะมาเป็นคู่แข่งย่อมต้องทำงานหนักมากๆเพื่อชดเชยมรดกที่ตัวเองไม่มี

บริษัทที่อยู่กับเทคโนโลยีใหม่ๆ แน่นอนว่าย่อมมีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีมากเป็นพิเศษ พร้อมปรับตัว พร้อมคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมา ใครจะมาแข่งขันเรื่องนี้ก็ต้องทำการบ้านหนักชดเชยเรื่องนี้เช่นกัน

นอกจากนั้นความสำเร็จในอดีตก็นับเป็นมรดกของบริษัทได้เช่นกัน เพราะความสำเร็จเหล่านั้นย่อมสร้างโทนเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทขึ้นมา รวมถึงสร้างฐานลูกค้าและชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับในวงการเอาไว้ด้วย

นอกจากปรัชญาและ มรดกแล้ว จังหวะในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ก็มีผลเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าใครออกอะไรมาก่อน ถ้าประสบความสำเร็จก็จะกลายเป็นเจ้าตลาดและสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมา รวมถึงโกยทั้งยอดขายและลูกค้าไปได้ก่อน ใครออกอะไรมาทีหลังแน่นอนว่าเทคโนโลยีย่อมเหนือกว่าเพราะเทคโนโลยีดิจิตอลที่ใช้ในมัลติพัฒนาไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับโลกปัจจุบัน และคนที่ออกทีหลังย่อมมีเวลาวิเคราะห์จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ออกมาก่อนเพื่อหาทางเอาชนะ รวมถึงวิเคราะห์ข้อจำกัดหรือข้อด้อยเพื่อแก้ไขและปรับปรุงส่ิงเหล่านั้นด้วย

ซึ่งเรื่องนี้ในวงการอื่นๆก็มีการแข่งขันคล้ายๆกัน เช่น Apple vs Sumsung สังเกตว่าใครออกอะไรมาใหม่ก็จะต้องสเป็คและเทคโนโลยีใหม่กว่าคู่แข่ง ใครออกอะไรมาก่อน ถ้าโดนใจลูกค้าก็มีโอกาสโกยเงินก่อน

มรดกของบริษัทก็ยังสำคัญ เพราะจะมีลูกค้าบางส่วนที่จะนิยมใช้เฉพาะยี่ห้อที่ตัวเองชอบ เพราะเคยชินและเสพย์ติดกับแนวคิดและผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นๆไปแล้ว แม้ว่าของคู่แข่งจะดีกว่า ใหม่กว่าก็ไม่สน

ในส่วนของเทคโนโลยีใหม่ลองมองไปที่ตลาดทีวี ไม่ว่าทีวี Full HD จะดีแค่ไหน สีสวยแค่ไหน ออกแบบมาสวยแค่ไหน ก็ยังมีข้อจำกัดของเทคโนโลยีอยู่ มันไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงของ Full HD ได้ ยังไงจำนวน Pixel ก็ไม่เพิ่มขึ้นเท่ากับเทคโนโลยี 4K ได้ และ 4K ยังไงก็ไม่สามารถก้าวขึ้นไปเทียบกับ 5K ได้

ในเรื่องของมัลตินั้นเทคโนโลยีที่ทุกบริษัทใช้ร่วมกันคือการแปลงเสียง Analog เป็น Digital ประมวลผลด้วย DSP (Digital Signal Processor ) และแปลงกลับเป็น Analog ซึ่งเราจะพูดถึงคุณภาพของ Sampling Rate และ Bit Depth ถ้าเทียบกับทีวีแล้ว Sampling Rate ก็คือจำนวน Pixel น้อยก็เหมือน Full HD มากก็เหมือน 4K ส่วน Bit Depth นั้นคือจำนวนสีที่แต่ละ Pixel แสดงผลได้

เรื่อง Sampling Rate กับ Bit Depth ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วอ่านได้ที่นี่ครับ
https://www.facebook.com/pg/6petesow9/photos/?tab=album&album_id=1341506049303326

คิดว่าใครอ่านมาถึงตรงนี้ (ยาวมาก!! ใครอ่านมาถึงนี้บ้าง 55 ) น่าจะพอเห็นภาพเรื่องของมัลติเอฟเฟกต์มากขึ้นนะครับ ในรายละเอียดอื่นๆเช่น เทคโนโลยีล่าสุด 32bits/96kHz ต่างจากของ 24bits ขนาดไหน, IR คืออะไร , เวลาเปลี่ยน preset ในมัลติ เสียงกระตุกเพราะอะไร, DSP คืออะไร, Global EQ คืออะไร และปรับอย่างไร? ผมจะทยอยเขียนให้ได้อ่านกันครับผม รอติดตามได้เลย