Beat It เป็นอีกหนึ่งเพลงในตำนานที่เรารู้จักกันในนามของเพลงที่ราชาแห่งป๊อปอย่าง Michael Jackson และ ราชาแห่งร๊อคอย่าง Eddie Van Halen ได้มาทำงานร่วมกัน หรือถ้าในยุคนี้เราคงเรียกว่าการ Collab หรือ X กัน

จริงๆแล้วยังมีนักดนตรีเก่งๆระดับตำนานหลายคนที่ได้มีส่วนร่วมกับ Beat It และเพลงอื่นๆในอัลบั้ม Thriller ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 6 ของไมเคิล และได้โปรดิวเซอร์ระดับตำนานอย่าง Quincy Jones มาโปรดิวซ์ให้

ในอัลบั้มนี้ตัวไมเคิลเองอยากจะทำอัลบั้มที่ปังทุกเพลง (Every song was a killer!) และทิศทางของเพลงในอัลบั้มนั้นจะสวนกับกระแส Disco ที่เป็น Mainstream ในยุคนั้น และได้เป็นดนตรีที่มีส่วนผสมของทั้ง Pop, Rock, Funk, Synth-Pop และ R&B

การบันทึกเสียงอัลบั้มนี้ใช้งบ $750,000USD (2,400,000USD ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ ตีเป็นเงินไทยราว 89 ล้านบาท) โดยบันทึกเสียงกันที่ Westlake Recording Studios ในเมือง Los Angeles รัฐ California ตั้งแต่เดือนเมษยน 1982 จนถึงเดือน พฤศจิกายน 1982

อัลบั้ม Thriller นี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1982 และ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากด้วยการขึ้นไปติดอันดับ 1 ใน US Billboard Top LPs & Tapes ถึง 37 สัปดาห์(ไม่ต่อเนื่อง) และมีซิงเกิลถึง 7 เพลงที่ปล่อยออกมาแล้วติด Top 10 บน US Billboard Top 100 Chart ด้วย ได้แก่เพลง “The Girl Is Mine”, Billie Jean”, “Beat It”, “Wanna Be Startin’ Somethin”, “Human Nature”, “P.Y.T. (Pretty Young Thing)” และ Thriller


เรื่องราวเบื้องหลังเพลง Beat It นั้นสนุกสนานมากๆ โดยผมได้ข้อมูลมาจากบทสัมภาษณ์ของสองมือกีตาร์ในยุคนั้นอย่าง Steve Lukater และ Eddie Van Halen

Steve Lukather เมื่อปี 1982 เขาอายุ 25ปี และมีผลงานบันทึกเสียงมากมายรวมถึงเป็นสมาชิกวง Toto ที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาเป็นมือกีตาร์หนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่ฝีมือฉกาจเลยทีเดียว

เขาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของการได้มีส่วนร่วมในการบันทึกเสียงอัลบั้ม Thriller และเพลง Beat It เอาไว้ในคลิปสัมภาษณ์ “Steve Lukather Tells the Funny Story of Recording Beat It with Michael Jackson & Eddie Van Halen” จากช่อง Musicians Hall of Fame & Museum

“ผมได้ร่วมงานกับ Qunicy Jones ผ่านการแนะนำของ Davis Foster ตอนนั้นผมอายุ22-23 และ ควินซี่ก็บอกกับผมว่าเดี๋ยวเราจะทำอัลบั้มใหม่ของ Michael Jackson กัน ผมคิดมันจะต้องเป็นอัลบั้มที่สุดยอดแน่ๆ ศิลปินที่จะมาร่วมงานด้วยคนแรกคือ Paul McCartney … ผมแบบ อึ้งไปเลย นี่คือเหตุผลที่ผมยังมีชีวิต ยังหายใจ และยังเล่นดนตรี ผมจะได้เล่นกับสมาชิกของ The Beatle

วันแรกที่เราได้แจมดนตรีกัน ในห้องนั้นมี Michael Jackson, Paul McCartney, Qunicy Jones, George Martin (Producer ในตำนานของ The Beatle ที่ถูกเรียกว่า Beatle คนที่ 5), Geoff Emerick (อีกหนึ่งสุดยอด Producer ที่ได้ทำงานกับ The Beatles ) … ผมมองไปให้ห้องแล้วก็บอกกับตัวเองว่า นี่มันสุดยอดฝันเปียกทางดนตรีชัดๆ (ครับน้าาา 🤣🤣🤣)

ไมเคิลโทรมาหาผม 3 ครั้ง “สวัสดี นี่ไมเคิล (ทำเสียงแบบไมเคิล)” ผมก็คิดว่ามีคนโทรมาล้อเล่น ผมเลยวางสายไปทั้ง 3 ครั้งเลย

3 ชั่วโมงต่อมา ควินซี่โทรมาบอกผมว่านั่นไมเคิลตัวจริง นายควรโทรกลับไปนะ ผมนี่แบบ โอ้พระเจ้า ผมทำอะไรลงไป ผมเลยโทรกลับไปหาไมเคิลบอกเขาว่าผมไม่คิดว่ามันจะเป็นคุณจริงๆ ไมเคิลตอบว่า “ไม่เป็นไรเลย มันตลกดีนะ” เขาน่ารักมากๆ

เพลง Beat It นั้น ควินซี่อยากได้ Eddie Van Halen มาเล่นท่อนโซโล่ ซึ่งผมรู้จักกับเอ็ดดี้อยู่แล้วนะ เราเป็นเพื่อนกัน พอเอ็ดดี้มาถึงเขาไม่อยากโซโล่บนคอร์ด E คอร์ดเดียว (น่าจะเป็นวินาทีที่ 2.45 ใน MV) เขาอยากจะเล่นบนทางเดินคอร์ดชุดเดียวกับท่อน Verse

ยุคนั้นเรายังใช้เทปในการอัดเสียงอยู่ เราเลยต้องทำการตัดเทปเพื่อเปลี่ยนท่อนกัน ซึ่งมันเสี่ยงมากๆเลยนะ ถ้าทำไม่ดีทุกอย่างจะพังหมด ซึ่งเสียงที่ไมเคิลเคาะเพื่อให้จังหวะยังอยู่ในเพลงเลย

หลังจากเอ็ดดี้โซโล่เสร็จแล้ว ผมก็มาอัดไลน์กีตาร์ Rhythm อัดไป 4 รอบเพื่อให้ได้เสียงที่ใหญ่ แต่มันไม่มีเบสในท่อนนั้น ผมเลยบอกเอาเบสมา เดี๋ยวผมจัดการเอง ผมอัดเสร็จแล้วส่งงานไป เค้าบอกว่าเสียงกีตาร์มันโหดไปนะ เพลงนี้จะต้องเปิดวิทยุคลื่น R&B และ Pop ได้ด้วย กีตาร์ Overdub แค่ 2 รอบก็พอ ผมก็จัดการแก้กีตาร์ไป

จากนั้น ควินซี่ ก็เรียกผมมาอีกครั้ง เพราะไมเคิล อยากจะเพิ่ม Riff อีกหน่อย เราเริ่มอัดเสียงแล้ว ควินซี่ยังไม่ค่อยพอใจ บอกให้ผมเล่นแบบอินกว่านี้หน่อย พอผมเล่นไปเรื่อยๆ แล้วเห็น ไมเคิล เริ่มเต้น ผมก็คิดว่ามันคงได้แล้วหละ แล้วผมก็อัด Overdub เข้าไป จากนั้นก็เป็น Beat It อย่างที่เราได้ฟังกัน”


Eddie Van Halen คืออีกหนึ่งสุดยอดมือกีตาร์ระดับตำนานที่ได้บันทึกเสียงในเพลง Beat It

ในปี 1982 Eddie อายุ 27ปี และสถานะของเขาตอนนั้นคือเทพเจ้ากีตาร์แห่งยุคแล้ว ดูจากช่วงเวลาที่บันทึกเสียงอัลบั้ม Thriller ในช่วงเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤสจิกายน 1982 น่าจะเป็นช่วงระหว่างที่วง Van Halen ปล่อยอัลบั้ม Diver Down ไปและวงได้ออกเดินสายทัวร์ไปแล้ว

Eddie ได้เล่าเรื่องนี้ผ่านบทสัมภาษณ์กับ CNN เมื่อปี 2012 และบทสัมภาษณ์กับ Piece Morgan เมื่อปี 2013

“ผมยังจำเรื่องราวในตอนนั้นได้แม่น เหมือนกับเพิ่งเกิดไปเมื่อวานเลย มันคงสนุกน่าดูที่จะได้ร่วมงานกับเขาอีก

ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่า “ใครมันจะไปรู้ว่าผมไปเล่นให้เพลงของพ่อหนุ่มคนนี้? ไม่มีใครรู้หรอก!!”

ผมคิดผิด!! เพราะอัลบั้มนั้นกลายเป็น Record of the Year!!”

“เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้ง ผมรับก็รับสายด้วยความหงุดหงิดแล้วตอบไปว่า “นายต้องการอะไร? โทรมาอยู่นั่นเหละ” ปลายสายถามมาว่า “นั่นเอ็ดดี้ ใช่ไหม?” “ใช่ แกต้องการอะไรเนี่ย?” “นี่ ควินซี่”

ผมก็คิดว่า ควินซี่ ไหนวะ?​ แล้วตอบไปว่า “ฉันไม่รู้จักคนชื่อ ควินซี่ ซักคน” “ควินซี่ โจนส์ เองพวก”

ผมตกใจและตอบไปว่า “ผมขอโทษ” “แล้วคุณโทรมาทำไมครับ?” “พรุ่งนี้นายอยากจะมาที่สตูดิโอแล้วอัดเสียงให้อัลบั้มใหม่ของ Michael Jackson ไหม?

ผมคิดหนักเลยเพราะเรามีข้อตกลงกันในวงว่าห้ามไปรับงานนอก

แต่วันนั้น Roth (David Lee Roth – นักร้องนำ) ไปอยู่ที่อเมซอน หรือที่ไหนซักที่

Mike (Michael Anthony – มือเบส) ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์

และ Al (Alex Van Halen – มือกลอง) ไปแคนาดา หรือที่ไหนซักแห่ง

ผมเลยคิดว่า …. พวกเขาไม่มีทางรู้หรอก!!!”

แต่ผมก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่านั้นคือควินซี่ตัวจริงเลยบอกไปว่า “เอางี๊ละกัน เดี๋ยวเราเจอกันที่สตูดิโอพรุ่งนี้”

และเมื่อผมไปถึงสตูดิโอ ควินซี่อยู่ที่นั่น ไมเคิลอยู่ที่นั่น และพวกเขากำลังทำอัลบั้มกันอยู่จริงๆ!!”


“ไมเคิลออกจากห้องไป เขาน่าจะต้องไปอัดเสียงผมคิดว่าสำหรับหนังเรื่อง E.T.นะ ผมเลยถามควินซี่ว่า “คุณอยากให้ผมทำอะไร?”

ควินซี่ตอบว่า “ทำตามที่นายต้องการเลย”

ผมเลยบอกเขาไปว่า “คุณควรจะต้องระวังมากๆเลยนะที่จะพูดคำนี้กับผม ถ้าคุณรู้จักผมดี คุณจะไม่พูดคำนี้ออกมาแน่ๆ”

ผมได้ฟังเพลงแล้วถามว่า “ผมเปลี่ยนท่อนของเพลงได้ไหม?” ผมหันไปบอกซาวด์เอ็นจิเนียร์ว่า “จากท่อน Breakdown นะ ตัดตรงนี้ แล้วไปเข้าท่อน Pre-Chorus แล้วก็ท่อน Chorus” เข้าใช้เวลาซัก 10 นาทีในการจัดการทั้งหมดนั่น แล้วผมก็อิมโพรไวส์ไปสอบรอบ

พอผมอัดเสร็จ ไมเคิลก็กลับมาพอดี คุณก็รู้ศิลปินตัวจริงเป็นพวกเพี้ยนๆทั้งนั้น และพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันด้วย ผมเดาไม่ออกเลยว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ผมทำลงไปกับเพลงของเขา ผมเลยเตือนเขาไปก่อนที่เขาได้ฟังเพลงว่า “คืองี๊นะ ผมได้เปลี่ยนท่อนตรงกลางเพลงของคุณไป”

ในสมองเนี่ยคิดอยู่สองอย่าง เค้าอาจจะให้บอดี้การ์ดของเขาเตะโด่งผมออกจากสตูดิโอเพราะผมไปยำเพลงของเขา หรือเขาอาจจะชอบมันก็ได้

เขาฟังแล้วและได้หันมาบอกผมว่า “ว้าว ขอบคุณมากๆที่คนใส่ใจกับเพลงมากกว่าแค่การมาโซโล่ แต่คุณทำให้เพลงมันดีขึ้น”

ไมเคิลคืออัจฉริยะทางดนตรี ที่มีความบริสุทธิ์เหมือนเด็ก เขาเป็นมืออาชีพ และเป็นคนที่น่ารักมากๆ


หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นตำนาน และทุกคนรู้ว่า เอ็ดดี้ คือคนที่เล่นท่อนโซโล่เพลง Beat It

“สมัยที่ Tower Record ยังคงเปิดอยู่ที่ Sherman Oaks ผมกำลังซื้อของอยู่และเพลง Beat It ถูกเปิดขึ้นมา พอท่อนโซโล่มาถึง เด็กๆที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมคุยกันว่า “ฟังสิ มือกีตาร์คนนี้พยายามเลียนแบบ Eddie Van Halen” ผมเลยเตะไหล่เขาเบาๆแล้วบอกไปว่า “ฉันเล่นเอง” มันตลกมากๆเลย”

แล้วคุณอธิบายเรื่องนี้กับวงยังไง?​

“คุณก็รู้ ผมโดนจับได้แน่ๆ เดฟอยู่ต่างประเทศ อัลก็อยู่ไหนไม่รู้ ผมไม่โทรหาพวกเขาเพื่อขออนุญาติไม่ได้ และอัลบั้ม Thriller นั้นทำให้อัลบั้ม 1984 ของเราไม่ได้ขึ้นอันดับ 1

อัลบั้มของเราจะขึ้นอันดับ 1 อยู่แล้วจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ไฟใหม้ผมของไมเคิลตอนถ่ายโฆษณา Pepsi ถ้าคุณจะเรื่องราวนี้ได้นะ หลังจากนั้นอัลบั้มของเขาก็กลับขึ้นไปอยู่อันดับ 1 อีกครั้ง

ควินซี่จ่ายค่าจ้างคุณเป็นเบียร์ 2 แพ็คใช่ไหม?​

“อะไรประมาณนั้นเหละ จริงๆแล้วผมน่าจะเอาเบียร์ไปเองด้วยนะ ถ้าจำไม่ผิด

ผมไม่ได้เรียกร้องอะไรเป็นการตอบแทนเลยนะ สำหรับผม มันก็แค่การใช้เวลา 20 นาทีในวันว่างวันนึง

ผมไม่ได้ขอให้ลงเครดิตในอัลบั้มนั้นด้วยนะ Guitar Solo น่าจะลงว่า Question Mark หรือ Frankenstein เนี่ยเหละ”